วัดใหม่พิณสุวรรณ ตั้งอยู่ที่เลขที่50 บ้านวัดใหม่พิณสุวรรณ ม.1 ต.บ้านแหลม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย
เนื้อที่27ไร่1งาน84ตารางวา
วัดใหม่พิณสุวรรณตั้งเมื่อปีพ.ศ.2451ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อพ.ศ.2509
ลำดับเจ้าอาวาส
1 หลวงพ่อปิ่น เป็นเจ้าอาวาส รูปแรก
2 หลวงพ่อเรื่อง (ฉายาครั้งแรก ชินฺปุต์โต ครั้งที่สอง รตนวณฺโณ นามสกุล วงษ์วิจารณ์)
3 พระครูกัลยาสุวรรณคุณ (ทองเลื่อน กลฺยาณธมฺโม)
4 พระอธิการสมพงษ์ อุตฺตมปญโญ
5 รูปปัจจุบัน พระอธิการวรพจน์ กิตฺติโสภโณ (ขันธควร) เป็นเจ้าอาวาส
หลวงพ่อเรื่อง ชินนฺปุตโต ท่านเกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ.2425 ในละแวกวัดใหม่พิณสุวรรณนั้นเอง
บิดาของท่านชื้อทับ-มารดาของท่าน ชื่อเรียง
ในยามเป็นเด็กและวัยรุ่นนั้น หลวงพ่อเรื่อง จะมีอุปนิสัยอย่างไรก็ไม่สามารถสืบถามได้ แต่เข้าใจว่าท่านคงประกอบอาชีพทำนา
เหมือนกับชาวบ้านในย่านนั้นเป็นส่วนมาก(ท่านมีที่ดินเป็นที่นาเป็นมรดกภายหลังได้ยกให้เป็นส่วนหนึ่งของวัดใหม่พิณสุวรรณในปัจจุบัน)
จวบจนพุทธศักราช2446 หลวงพ่อฯ มีอายุครบบวช จึงได้อุปสมบท ณ.พัธสีมาวัดแก้วตะเคียนทอง อ.บางปลาม้า
และได้อยู่ศึกษาธรรมวินัย และวิปัสสนากรรมฐาน ณ.วัดแก้วตะเคียนทองนี้ กับหลวงพ่อแสง เจ้าอาวาสในขณะนั้น
ต่อมาได้ไปศึกษาต่อยัง วัดเจ้าเจ็ด จ.อยุธยา จนถึงปี2450 หลวงพ่อฯได้ย้ายกลับมาจำพรรษา ณ.วัดใหม่พิณสุวรรณ
อันเป็นปีแรกของการเริ่มสร้างวัด ท่านมาช่วยสร้างวัดและศึกษาทั้งวิปัสสนากรรมฐาน และแพทย์แผนโบราณ
กับ หลวงพ่อปิ่น เจ้าอาวาสวัดใหม่พิณสุวรรณในขณะนั้น กระทั่งมีความชำนาญ
ต่อมา หลวงพ่อปิ่น มรณภาพ หลวงพ่อเรื่องได้ขึ้นรับตำแหน่งเจ้าอาวาส ใช้วิชาความรู้ที่ได้ศึกษามาช่วยเหลือชาวบ้านต่อไป
วัดใหม่พิณสุวรรณในยุคที่หลวงพ่อเรื่องเป็นสมภารนั้น มีคนมาขึ้นกับท่านมากมาย ทั้งคนในพื้นที่วัดใหม่ฯ
และคนต่างตำบลอื่นๆคนไกลๆก็มาหาท่าน เพราะท่านเป็นพระที่ดีมีคนเคารพมาก รวมถึงท่านมีวิชาแพทย์แผนโบราณ
สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เป็นที่พึ่งให้กับชาวบ้านได้อย่างแท้จริง
คุณยายตุ ซึ่งทันหลวงพ่อในสมัยสาวๆ ได้เล่าให้ฟังว่า ในสมัยหลวงพ่อเรื่องนั้น มีคนมารอรับการรักษาจากหลวงพ่อเต็มใต้ถุนศาลาเลยทีเดียว
บางคนก็มาขอรับพระจากท่านก็มี คนเยอะแยะไปหมด
อ.มนัส โอภากุล (นักเขียนและนักสะสมพระเครื่องสายสุพรรณ) ได้เขียนถึงหลวงพ่อเรื่องไว้ส่วนหนึ่งว่า
หลวงพ่อเรื่อง เจ้าอาวาสวัดใหม่พิณสุวรรณต.ตะค่าอ.บางปลาม้าสุพรรณบุรีเป็นพระวิปัสสนากรรมฐานและแพทย์แผนโบราณ
รักษาคนป่วยตลอดจนคนบ้าหายมานับพันนับหมื่นรายโดยไม่เรียกค่ารักษาใดๆ ทั้งสิ้นจนถูกคนอิจฉา
และได้ต่อสู้กับความอยุติธรรมจนเป็นผลสำเร็จ…
หลวงพ่อเรื่องมีวิชาในทางแพทย์แผนโบราณที่น่าทึ่ง และสามารถรักษาโรคได้หลากหลาย
แม้กระทั่งคนวิกลจริต ก็สามารถรักษาให้หายได้ มีหลักฐานการักษาคนที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้
เป็นกระดูกห่านส่วนหน้าแข้ง มีลักษณะเป็นรูและงอนเล็กน้อยบางแต่แข็ง ใช้สำหรับเป่ายาผงที่ทำให้คนไข้สลบ
ภายหลังท่านได้จารเป็นตะกรุด และมอบให้คุณย่าเมือง เมื่อคราวคลอดบุตร และทางครอบครัวได้ใช้ทำน้ำมนต์รักษาวัวควายเป็นโรค
และธรณีศาลหรือเวลาคลอดลูก (ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของทายาทท่านสืบมา)
นอกจากคนที่มาเพื่อขอรับการรักษา ก็ยังมีผู้ที่ต้องการจะบวชเรียนในพระพุทธศาสนา ก็มักจะมานิมนต์หลวงพ่อเรื่องไปเป็นอุปัชฌาย์
เพื่อความเป็นสิริมงคลของผู้บวช และจะได้ชื่อว่าเป็นสัทธิวิหาริกของท่าน ซึ่งคนเหล่านี้เมื่อภายหลังสึกไปแล้ว ก็นับถือท่านเป็นดั่งอาจารย์
แวะเวียนกลับมาหาท่าน แม้มิได้มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรทำให้กิติศัพท์ของท่านแผ่ไปไกล
ในสมัยนั้นไม่มีอุปัชฌาย์ที่แน่นอน เจ้าภาพศรัทธาองค์ไหน ก็ไปนิมนต์ ขอให้มีพรรษามาก ก็เป็นอุปัชฌาย์ได้
ดังนั้นหลวงพ่อเรื่องจึงแทบจะผูกขาดการเป็นอุปัชฌาย์ในถิ่นนั้น รวมถึงต่างตำบลไกลๆ ก็ยังมานิมนต์ท่าน
กระทั่งวัดต่างๆ จะสร้างโบสถ์ วิหาร ก็ยังมานิมนต์ท่านไปช่วย ไม่เฉพาะในเขตสุพรรณเท่านั้น ยังรวมถึงจังหวัดใกล้เคียง
ในจังหวัดสุพรรณเช่นวัดบ่อคู่ อ.อู่ทอง (เท่าที่พอทราบ) จังหวัดราชบุรีก็มี วัดท่าเรือ อ.ดำเนินสะดวก
ดังปรากฏในหนังสือของหลวงพ่อมหาวีระ วัดท่าซุงเล่าไว้ว่า (ย่อ)
“อย่างคราวหนึ่งจะไปสร้างโบสถ์ที่ราชบุรี ก็มีงานวางศิลาฤกษ์ หลวงพ่อเรื่องกับหลวงพ่อเล็กก็มาร่วมงานด้วย ก็ไม่มีอะไรกันมาก
ท่านไปหาเสามาปักเล็กๆเข้า เป็นเขตสำหรับเป็นที่สร้างโบสถ์เท่านั้น พอถึงกลางคืน ตามธรรมดาแล้ว
เราจะมองเห็นดาวอยู่สูงและไกลมาก แต่ที่นั่นไม่เป็นอย่างนั้น ใครเข้ามาในเขตวัดจะมองเห็นดาวสูงแค่เสาที่ปักเป็นเขตสร้างโบสถ์เท่านั้น
มองดูสุกสว่างมาก ถ้าเดินเข้าไปใกล้ๆเสา ดาวจะหายไปเลย ต้องถอยหลังออกไปประมาณสัก ๒ เมตร จึงจะมองเห็นได้เหมือนเดิม
ทีนี้แหละ…มึงก็มา กูก็มา ดูมั่งทำบุญมั่ง กลางวันคนมาเรื่อยๆ พอถึงกลางคืนคนเต็มเลย ดี
กว่ามีลิเก ละคร เสียอีก”
ความที่มีคนมานับถือหลวงพ่อเรื่อง มากนี้เอง รวมถึงการนั่งอุปัชายะ ที่ใครๆก็จะนิมนต์แต่ท่าน ทำให้พระผู้ใหญ่ในแขวงนั้น
ไม่พอใจ ขัดใจ และได้กลั่นแกล้งท่าน หลายอย่าง จนในที่สุด ได้กล่าวหาตั้งอธิกรณ์ ข้อปาราชิกกับท่าน
ว่ามีสตรีอิงนอนอยู่ในวัด โดยไปกล่าวโทษท่านถึงที่วัด และมีผู้นำสตรีวิกลจริต ไม่สวมเสื้อผ้า ไปไว้ในกุฏิของหลวงพ่อ เป็นการเตรียมการเอาไว้แล้ว
เมื่อทางคณะที่กล่าวโทษท่าน ไปถึงที่วัด ก็พบหลักฐานว่ามีสตรีเปลื้องผ้าอยู่ในกุฏิท่าน จึงได้กล่าโทษตั้งอธิกรณ์ ท่านว่าปาราชิกทันที
อันปาราชิกนั้นมี4ข้อ คือ
1.เสพเมถุน ไม่ว่ากับคนหรือสัตว์
2.ลักทรัพย์ราคา1มาสกขึ้นไป
3.ฆ่ามนุษย์
4.อวดอุตริมนุสธรรม ที่ไม่มีในตน
พระผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้น ถือว่าขาดจากความเป็นพระทันที ไม่สามารถอยู่ร่วมกับคณะสงฆ์อื่นได้ บวชใหม่ไม่เป็นผล
เมื่อพบหลักฐานประจักษ์ ตามที่คณะตั้งอธิกรณ์กล่าวหา หลวงพ่อได้กล่าวชี้แจงยืนยันความบริสุทธิ์ของท่านว่า
มิได้ล่วงประเวณีหรือกระทำการใดๆให้ผิดวินัยของสงฆ์ตามที่กล่าวหา
เหตุที่มีสตรีอิงนอนอยู่ในวัด ก็เพราะหลวงพ่อรักษาคนวิกลจริต ไม่รู้สติ(คนบ้า) แล้วมานอนแก้ผ้าในกุฏิ แต่ท่านมิได้ทำอะไรสตรีนั้นเลย
ในคืนก่อนหน้าที่เขาจะมากล่าวหา ท่านก็มิได้จำวัดที่กุฏิ ท่านจำวัดอยู่ที่ศาลาทำยา(ศาลารักษาคน) มีผู้ยืนยันได้
แต่ทางพระผู้ใหญ่มีอคติ ไม่ฟังความหลวงพ่อ บอกว่าหลักฐาน(เท็จ)แน่นหนา ท่านปาราชิก ขาดจากความเป็นพระแล้ว ให้สึกและออกจากวัดไปทันที
เมื่อเหตุการณ์บีบคั้นดังนี้ หลวงพ่อจึงสึกกับต้นโพธิ์ แล้วขานวาจาว่า
“เขาอยากให้เราสึก เราก็สึกแต่ทางกาย แต่ใจเราไม่สึก”
แล้วหลวงพ่อก็เปลื้องผ้าเหลือง ห่มผ้าขาวแทน แล้วเดินทางมากับนายไปล่ลูกผู้น้อง
นายไปล่หรือคุณทวดไปล่ สมัยนั้นเป็นวัยรุ่น และได้เดินทางไปหาหลวงพ่อเรื่องเช้ามืดวันนั้นพอดี)
หลังจากออกมาจากวัด หลวงพ่อได้ไปพักอาศัยที่บ้านโพธิ์ พักใหญ่
โดยยังปฏิบัติตนแบบพระทุกอย่างแต่ว่าห่มผ้าขาวแทน
หลังจากนั้นนายไปล่ ก็ไปหาท่าน และบอกว่าให้ท่านมาอยู่ที่บ้านผมก็ได้
ครั้งนั้นนายไปล่กำลังจะปลูกบ้าน หลวงพ่อก็มาก่อน ท่านมาบอกว่า
“กูอยู่ไม่นานหรอก เสร็จเรื่องแล้ว กูก็จะไป”
นายไปล่ถามว่า ท่านจะไปไหน
ท่านตอบว่า ธุดงค์เรื่อยไป